เทศน์เช้า วันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๔
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เวลาเราสวดมนต์ เห็นไหม สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายจงมีความสุขเถิด อย่าได้ทุกข์กาย ทุกข์ใจเลย เวลาเราทุกข์กาย ถ้าหัวใจเราดี การรักษาร่างกายนั้นหมอจะรักษาได้ง่าย ถ้าเราทุกข์กาย แล้วหัวใจมันทุกข์ด้วย มันป่วย ๒ คน กายก็ป่วย ใจก็ป่วย ถ้าใจมันป่วยขึ้นมา ร่างกายนั้นมันจะทรุดเอาๆ เลย แต่ถ้าจิตใจมันไม่ป่วยนะ หายเด็ดขาด! อย่างไรก็หาย
ร่างกายนั้นหายได้นะ จิตใจเข้มแข็งมันทำได้ทุกๆ อย่างเลย สรรพสิ่งทั้งหลาย ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน แต่ถ้าหัวใจเราอ่อนแอ แล้วเราก็ไม่เข้าใจหัวใจของเราด้วย แล้วเราก็พยายามเหยียบย่ำหัวใจของเราเองด้วย เราตีโพยตีพายไง เราทำคุณงามความดีมามหาศาล เราเป็นคนสร้างแต่คุณงามความดีมา ทำไมเราไม่ประสบความสำเร็จ ทำไมเรามีแต่ความทุกข์
ความทุกข์อย่างนี้มันมีกรรมเก่า กรรมใหม่ เวลากรรมเก่าขึ้นมา เห็นไหม จิตใต้สำนึกเรานี่ เราไม่ต้องการคิดสิ่งใดเลย เราไม่ต้องการคิดสิ่งที่มันเป็นอกุศล เราไม่ต้องการสิ่งใดที่เป็นตัณหาความทะยานอยากเกิดจากหัวใจของเราเลย แต่ทำไมมันผุดขึ้นมาอย่างกับดอกบัวเลยล่ะ ทำไมมันผุดขึ้นมาแต่เรื่องที่ไม่ดีๆ ทั้งนั้นเลยล่ะ ไอ้เรื่องที่ดีๆ ทำไมมันไม่ผุดขึ้นมาล่ะ
นี่ไง นี่ภวาสวะ ภพ เป็นที่อยู่ของอวิชชา เป็นที่อยู่ของความไม่รู้ ความไม่รู้ มันทำสิ่งใดไปมันก็สะสมสิ่งที่หนักหน่วงเอาไว้ในใจ แล้วเราก็ปฏิเสธมัน ว่าเราเกิดมาชาตินี้เราเกิดมาในพุทธศาสนา เราก็ตั้งใจทำบุญกุศลของเรา เราทำคุณงามความดีทั้งนั้นเลย ทุกคนตั้งใจแต่ทำคุณงามความดีทั้งนั้นแหละ แต่ทำไมไม่สมความปรารถนา
ความไม่สมความปรารถนา เห็นไหม เวลาเขารักษาไข้ ไข้มันอยู่ในร่างกาย ไปรักษาที่ผิวหนังมันหายไหม คนเราเวลาเป็นแผลเรื่องต่างๆ การรักษาต้องรักษาที่ผิวหนัง เพราะผิวหนังมันเกิดแผลใช่ไหม แต่เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ไวรัสต่างๆ เชื้อต่างๆ มันอยู่ในร่างกายนี้ เวลากิเลสอวิชชา มันเป็นอนุสัย มันนอนเนื่องในใจ มันอยู่ในจิตใต้สำนึก มันอยู่ในก้นบึ้งของใจ แต่เวลาความรู้สึกนึกคิด เราก็คิดแต่ดีๆ ทั้งนั้นแหละ เราก็คิดแต่ความดีๆ แต่ทำไมเราควบคุมใจเราไม่ได้ล่ะ
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันย้อนเข้าไปชำระล้าง ย้อนเข้าไปทำให้หัวใจเราสะอาดบริสุทธิ์ไง ถ้าหัวใจเราไม่สะอาดบริสุทธิ์นะ หัวใจนี่ ความไม่สะอาดบริสุทธิ์ ดูสิเวลาเซลล์มันแบ่งตัว เห็นไหม มันแบ่งตัวของมันตลอดเวลา นี่เวลาคิดขึ้นมา เวลาคิดเล็กน้อย ย้ำคิด ย้ำทำ คิดบ่อยๆ เข้า เดี๋ยวทุกข์ตัวใหญ่ๆ เลย ทุกข์มันจะมหาศาลเลย เหยียบย่ำหัวใจเราเลย เพราะอะไร เพราะเราย้ำคิดย้ำทำแต่สิ่งที่มันเป็นความทุกข์
สิ่งที่เป็นความทุกข์ เห็นไหม หลวงตาท่านสอนบ่อย ท่านบอกว่า อย่าเสียดายอารมณ์
เวลาเรามีอารมณ์ความรู้สึก อย่าไปเสียดายมัน นี่เราไปเสียดายอารมณ์เราไง โอ๋ย.. อันนู้นก็ดี อันนี้ก็ดี อาลัยอาวรณ์มันไง ทั้งๆ ที่เราควรจะสลัดมันทิ้ง ถ้าเราสลัดมันทิ้งไป ความทุกข์มันจะไม่มีในหัวใจของเรา แต่เราไปอาลัยอาวรณ์มันเองไง ไม่กล้าสลัดทิ้ง พอสลัดทิ้งแล้วจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ นี่เวลาสลัดทุกอย่างทิ้งหมดแล้วจะไปที่ไหนล่ะ บ้านนี่จุดไฟเผาทิ้งได้ไหม บ้านก็คือบ้านของเรา บ้านของเราต้องทำความสะอาดสิ เราจะไปเผาทิ้งได้อย่างไร
ไอ้นั่นมันเป็นบ้าน มันเป็นวัตถุ มันก็ต้องทำความสะอาด ฝุ่นจับต่างๆ เราก็ต้องเช็ดต้องถูของเรา แต่หัวใจมันเป็นนามธรรม ยิ่งสลัดยิ่งสะอาด ยิ่งสลัดยิ่งดี ยิ่งทำลายยิ่งใสสะอาดนะ แต่พวกเรานี่ไม่กล้าทำลาย ไม่กล้าขยำมัน ไม่กล้าทำลายหัวใจของตัวเอง ไปทะนุถนอมมันไง ยิ่งทะนุถนอมก็เท่ากับทะนุถนอมกิเลสไปด้วย
นี่สลัดทิ้งไปเลย อย่าไปเสียดายอารมณ์ความที่มันเผาใจเรา สลัดมันทิ้งไป แต่นี่มันสลัดไม่ได้ มันสลัดไม่ได้เพราะอะไร เพราะมันฝังใจ มันอยากคิด มันมีความพอใจ มันพอใจ มันอยากคิด มันอยากจะอยู่กับเรา คิดแล้วคิดเล่า คิดแล้วมันมีรสชาติ นี่ไงถ้ามีรสชาติ เราก็ต้องมีปัญญา นี่วันนี้คิดมากี่ร้อยหน วันนี้คิดมากี่พันหน เห็นไหม นี่เขาเรียกว่าปัญญาอบรมสมาธิ
ถ้าเราใช้ปัญญาใคร่ครวญมัน ความคิดก็คิดแล้วคิดเล่า มันจะทำได้หรือไม่ได้ ถ้าเราอยู่หน้างาน เราทำมันก็จบไปแล้ว แต่นี่มันเป็นความคิด วิตกกังวลไปเฉยๆ ถ้าวิตกกังวล ทำไมเราวิตกกังวลล่ะ ทำไมเราโง่ขนาดนี้ล่ะ เห็นไหม ถ้ามีปัญญาขึ้นมา ถ้ามันคิดแล้ว ย้ำคิดย้ำทำ ถ้ามีปัญญาขึ้นมาก็ใคร่ครวญความคิดนั่นแหละ
ความคิดนั้นมันเกิดมาจากไหน เราคิดขึ้นมาแล้วมันให้ผลอะไรกับเรา ถ้ามันให้ผลสิ่งที่เป็นทุกข์กับเรา แล้วคิดทำไมล่ะ ทำไมเราไม่คิดสิ่งที่ดีๆ ล่ะ? เราคิดสิ่งที่ดี คิดแล้วมันก็จืด คิดแต่สิ่งที่ดีงามแล้วนะ มันก็เท่านั้นแหละ แต่ถ้าคิดถึงความทุกข์ คิดถึงสิ่งใดที่มันบาดหมางในใจ มันมีรสชาติมาก นี่เพราะอะไร เพราะเราไม่เคยฝึก
เวลาทุกคนบอกว่าศาสนานี่ทุกคนเข้าใจได้ แต่ทำไมมันทุกข์ล่ะ? ทำไมมันทุกข์ล่ะ? นี่ไง เราขาดการฝึกฝนกันนะ เวลาเราจะไปวัดไปวา ทำบุญกุศลนี่เราทำได้ ทาน ศีลนี่มี แต่ภาวนาไม่มี ถ้าภาวนาไม่มี เราไม่ฝึกฝนของเรา
ทุกคนรู้ เรามีเงินมีทองขึ้นมานี่เราต้องประหยัดมัธยัสถ์ แต่เวลาเข้าไปในห้างฯ มันจ่ายหมดเลย กลับมาแล้วก็มาปวดหัว นั่นมันเป็นเพราะอะไรล่ะ เพราะว่าเราไม่ได้ฝึกไง เรามีความจำเป็นแค่ไหน เราควรใช้อย่างใด นี่เราก็ใช้แต่ความจำเป็นของเรา เห็นไหม มันหัดคิดไง หัดคิด หัดฝึกฝน จิตใจมันก็เข้มแข็งขึ้นมา
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรามีปัญญาของเรานี่ เราคิดของเรานะ มันเห็นจริงๆ นะ มันเห็นว่าคิดอย่างนี้ก็เจ็บ คิดอย่างนี้ก็ปวด เวลาคิดถึงสิ่งที่ดีล่ะ มันไม่คิดเพราะอะไรล่ะ มันไม่คิดเพราะว่า นี่สิ่งที่นอนเนื่องในใจ มันเป็นอวิชชา มันเป็นความไม่รู้ มันเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ในการประพฤติปฏิบัติเรา ที่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะกิเลสมันผลักไส
ธรรมะนะให้คุณงามความดี ดูออกซิเจน ดูอากาศสิ มันมีประโยชน์ทั้งนั้นแหละ มันมีความดีทั้งนั้นแหละ ธรรมะ เห็นไหม มันเป็นสิ่งที่ดีๆ ทั้งนั้นแหละ แต่เวลาเราอยากได้สิ่งที่ดีๆ ไอ้กิเลสตัณหาความทะยานอยากนี่มันคาดมันหมาย มันคาดมันหมาย มันวิตก มันวิจาร มันผิดพลาดเพราะกิเลสเราเองไง
ฉะนั้นพอมันผิดพลาดเพราะกิเลสเราเอง เห็นไหม ดูสิ คนนั่งรอบข้างเราเป็นคนดีหมดเลย มีแต่ใจเรานี่แหละมันไม่ดี สิ่งใดๆ ก็แล้วแต่ ในใจเรานี่แหละมันมีปัญหาในใจของเราเอง ถ้ามันมีปัญหาในใจของเราเอง เราจะต้องตั้งสติแล้วมีคำบริกรรม ทำความสงบของใจให้ได้ ถ้าใจมันสงบขึ้นมานะ อย่างที่ว่าปัญญาที่เราสลัดทิ้งอารมณ์ๆ ปัญญาอย่างนี้มันเป็นปัญญาเกิดจากสัมมาสมาธิ คือปัญญาเกิดจากมีหลักมีเกณฑ์ มันถึงจะเป็นปัญญาที่เราจับต้อง ที่เราสัมผัส
แต่อารมณ์ความรู้สึกมันเกิดดับๆ มันแรงขับจากหัวใจ เราไปจับต้องอะไรมัน มันมีแต่ไฟเผาเรา แต่ถ้าจิตมันสงบนะ แล้วเราควบคุมมันนะ เวลาปัญญามันเกิดขึ้นมานี่ ฮ้า.. นั่นก็ผิด นี่เราก็ไม่เข้าใจ ทำไมเมื่อก่อนมันคิดอย่างนี้ไม่ได้ ทำไมตอนนี้มันคิดได้
นี่ไงมันเกิดจากความสงบของใจนะ สัมมาสมาธิ ถ้าจิตมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา มันมีสิ่งใดเกิดขึ้นมามันจะเป็นธรรม สิ่งที่เป็นธรรมนี่เราต้องฝึกฝน เราขาดการฝึกฝนกัน เราขาดการกระทำกัน แต่เราว่าเราเข้าใจธรรมะ เราเข้าใจธรรมะ เข้าใจแล้วได้อะไรล่ะ เราเดินผ่านธนาคารนี่ เงินในธนาคารมีเท่าไหร่ล่ะ เงินของใครล่ะ ก็ของธนาคารไง มันเป็นของเราที่ไหนล่ะ
นี่ไง ธรรมะอยู่ในตู้พระไตรปิฎกไง ศึกษาแล้วก็แล้วกันไง นี่เราขาดการฝึกฝน ถ้ามันมีการฝึกฝนขึ้นมา การฝึกฝนที่เรามาฝึกกันอยู่นี้ เรามาทำกันอยู่นี้ เรามาทรมานกิเลสนะ เราไม่ได้มาทรมานเรา แต่กิเลสมันอยู่ในหัวใจเรา เห็นไหม เวลานั่งสมาธินี่ เรานั่งสมาธิ เราตั้งใจเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา บังคับไม่ให้คิดไม่ให้ทำ นี่เราบังคับกิเลสเรา บังคับความเคยใจของเรา เราจะสู้กับเราไง
ชนะใครก็แล้วแต่ หมื่นแสน คูณด้วยพัน คูณด้วยล้าน สร้างเวรสร้างกรรมทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าเราชนะอารมณ์เรา เราชนะความรู้สึกนึกคิดของเรา เห็นไหม ชนะนี้ประเสริฐที่สุด แล้วถ้าชนะที่ประเสริฐแล้วนะ มันอยู่ที่ไหนนะมันก็อยู่ได้
เวลาเราอยู่ของเรานะ อยู่โคนไม้นี่ ถ้าเราไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์มันจะน้อยเนื้อต่ำใจ ดูสิเขามีแต่ความสุขกัน เรามานั่งอยู่โคนไม้ ฝนตกก็เปียก เวลาแดดร้อนก็ร้อน ทำไมเราต้องมาทุกข์กับเขาขนาดนี้ แต่ถ้าจิตใจมันมีหลักมีเกณฑ์นะ แหม.. โคนไม้นี่สุดยอดเลย โคนไม้นี่สุดยอดเลย มันไม่มีใครมาแย่งเรา มันเป็นสิ่งที่ไม่มีใครปรารถนา
เวลาเราประพฤติปฏิบัติกัน เขาให้เข้าป่าช้า เข้าป่าเข้าเขา มันเป็นชัยภูมิที่เขาไม่มีใครต้องการ เราเข้าไปในเมืองนะมีแต่คนต้องการ เขาแสวงหากัน เราไปสิ่งที่ไม่มีใครต้องการ ไม่มีใครมาแย่งชิงกับเรา ถ้าไม่มีใครมาแย่งชิงกับเรานะ ใจเรารักษาได้ไหม เวลาเราอยู่คลุกคลีกันนี่เรารักษาใจเราได้ เพราะอะไร เพราะมันเพลิน มันคุยโม้กันทั้งวันเลย แต่พออยู่คนเดียว ความคิดนี่มันรุนแรงมาก
ความคิดนะ อยู่คนเดียวให้ระวังความคิด เวลาความคิดมันเกิดขึ้นมา เห็นไหม แล้วถ้าเรากำจัดความคิดนี้ได้ จัดระเบียบของมัน จัดระเบียบของมันให้เข้าสู่ระเบียบ ถ้าเข้าสู่ระเบียบนี่สัมมาสมาธิ แล้วถ้าเข้าสู่ระเบียบแล้วนะ คนที่มีระเบียบวินัยเวลาทำอะไรก็ทำแต่ความถูกต้องดีงามไปหมด
หัวใจของเรานี่จัดระเบียบให้ดีแล้ว เห็นไหม เป็นสัมมาสมาธิ เวลาปัญญามันเกิดขึ้นมา เขาเรียกว่า โลกุตตรปัญญา ปัญญาเหนือโลก ปัญญาเหนือกิเลสเรา ปัญญาเหนือความที่มันเกิดขึ้นตามธรรมชาติ เพราะมีสติมีปัญญาควบคุม แล้วพอมันเกิดขึ้นมานะ พอมันใช้ปัญญาใคร่ครวญแล้วนี่มันซาบซึ้ง มันซาบซึ้งนะ พอคิดถึงชีวิตก็น้ำตาไหล คิดถึงความทุกข์ก็น้ำตาร่วง
มันซาบซึ้ง..มันซาบซึ้ง ซาบซึ้งเพราะอะไรล่ะ ซาบซึ้งเพราะเราจัดระเบียบความคิดดีแล้ว แล้วมันเกิดโลกุตตรปัญญา แต่ความคิด ความรู้สึกเรานี่ เขาเรียกโลกียปัญญา มันเกิดจากกิเลส เกิดจากอวิชชา ไม่ได้จัดระเบียบความคิดของเราให้มันเรียบร้อยไว้ มันคิดหน้า คิดหลัง คิดยอก คิดย้อน คิดต่างๆ มันคิดของมัน แล้วมันได้อะไรล่ะ? ก็ได้แต่ความทุกข์ แต่เวลาจิตเป็นสัมมาสมาธิ ระบบระเบียบความคิดของเราจัดดีแล้ว เวลาเกิดปัญญานี่เขาเรียก โลกุตตรปัญญา
โลกุตตรปัญญา คือมันรู้เท่าทันความคิดของเรา มันรู้เท่าทันความรู้สึกนึกคิด แล้วมันเห็นโทษ เห็นคุณแล้ว พอเวลาเห็นคุณ เห็นไหม มันซาบซึ้ง มันซาบซึ้ง แล้วเราอยากให้มันซาบซึ้งอีก มันไม่ซาบซึ้งแล้ว ไม่ซาบซึ้งเพราะอะไร เพราะสมาธิพอมันใช้แล้วมันเสื่อม ของอะไรใช้แล้วมันจะเริ่มจางลง..จางลง.. แล้วกลับมาทำสมาธิให้มากขึ้น แล้วพอเดี๋ยวมันก็ซาบซึ้งอีก แล้วซาบซึ้งที่ลึกซึ้งกว่านี้ ซาบซึ้งจนน้ำตาไหล น้ำตาร่วงนะ
หลวงตาท่านบอกว่า เวลาโลกธาตุท่านหวั่นไหว ท่านสลัดโลกธาตุทิ้ง ท่านน้ำตาไหล ท่านกราบแล้วกราบเล่า กราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้รื้อค้นสัจธรรมอันนี้ นี่รื้อค้นมาด้วยบุญญาธิการขององค์ศาสดา เราเป็นสาวก สาวกะ เราพยายามรื้อค้นกัน เราต้องรื้อค้นกลับไปในที่หัวใจของเรา
ความรู้สึกนึกคิด วิชาชีพนี้มันเป็นการดำรงชีวิต แต่โลกุตตรปัญญาที่มันจะเกิดขึ้นมาได้ มันไม่เกิดขึ้นง่ายๆ หรอก ภาวนามยปัญญาไม่เกิดขึ้นง่ายๆ เกิดขึ้นจากความเพียรกล้า เกิดขึ้นจากความวิริยะอุตสาหะ เกิดขึ้นจากการนั่งสมาธิ ภาวนา การเดินจงกรม ไม่ได้เกิดขึ้นจากการศึกษา ไม่ได้เกิดขึ้นจากการค้นคว้า เกิดขึ้นจากการเดินจงกรม จากการนั่งสมาธิ ภาวนา แล้วมันจะเห็นคุณค่าของใจนี้ว่ามีคุณค่าแค่ไหน เอวัง